หนึ่งในหัวใจหลักของการทำ SEO ก็คือการเลือกใช้ Keyword อย่างเหมาะสม เพราะการเลือกคีย์เวิร์ดให้ตรงกับเจตนาของผู้ค้นหา จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสติดอันดับ และได้ทราฟฟิกคุณภาพสูง ในบทความนี้เราจะพาไปรู้จัก ประเภทของ Keyword ทั้งหมดที่ควรรู้ พร้อมตัวอย่างการใช้งานจริง
Keyword คืออะไร?
Keyword (คีย์เวิร์ด) คือคำหรือวลีที่ผู้ใช้งานพิมพ์ลงในเสิร์ชเอนจิน (เช่น Google) เพื่อค้นหาข้อมูลสินค้า บริการ หรือคำตอบของคำถาม หากเว็บไซต์ของคุณมีคีย์เวิร์ดที่ตรงกับสิ่งที่ผู้คนค้นหา ก็มีโอกาสที่จะถูกแสดงในผลลัพธ์การค้นหา
ประเภทของ Keyword ตามความยาวของคำค้นหา
1. Short-tail Keyword
ความยาว: 1–2 คำ
ตัวอย่าง: “รองเท้า”, “กล้องถ่ายรูป”
ความหมาย: กว้าง คลุมเครือ
คู่แข่ง: สูงมาก
จุดเด่น: ปริมาณการค้นหาสูง แต่ Conversion ต่ำ
2. Long-tail Keyword
ความยาว: 3 คำขึ้นไป
ตัวอย่าง: “รองเท้าวิ่งสำหรับคนเท้าแบน”, “กล้องถ่ายรูปสำหรับมือใหม่ ปี 2025”
ความหมาย: เฉพาะเจาะจง
คู่แข่ง: น้อยกว่า
จุดเด่น: อัตรา Conversion สูง เพราะตรงเจตนาผู้ค้นหา
3. Mid-tail Keyword
ความยาว: 2–3 คำ
ตัวอย่าง: “กล้อง DSLR ราคาถูก”, “ครีมลดสิวอักเสบ”
เป็นจุดกึ่งกลางระหว่าง short-tail และ long-tail เหมาะกับเว็บไซต์ที่ต้องการสร้างทราฟฟิกและ Conversion พร้อมกัน
ประเภทของ Keyword ตามเจตนาการค้นหา (Search Intent)
1. Informational Keyword (คำค้นหาเพื่อหาข้อมูล)
จุดประสงค์: หาความรู้ หรือคำตอบของคำถาม
ตัวอย่าง: “ทำ SEO คืออะไร”, “วิธีลดน้ำหนักแบบไม่ออกกำลังกาย”
เหมาะสำหรับ: บทความเชิงความรู้, Blog, FAQs
2. Navigational Keyword (คำค้นหาชื่อเฉพาะ)
จุดประสงค์: ค้นหาเว็บไซต์หรือแบรนด์โดยตรง
ตัวอย่าง: “Shopee”, “Facebook login”, “Yoast SEO Plugin”
เหมาะสำหรับ: เว็บไซต์ที่ต้องการสร้างการจดจำแบรนด์
3. Transactional Keyword (คำค้นหาเพื่อซื้อหรือสมัคร)
จุดประสงค์: มีความต้องการจะซื้อหรือสมัครทันที
ตัวอย่าง: “ซื้อ iPhone 15 ราคาถูก”, “ลงทะเบียนเรียนภาษาอังกฤษ”
เหมาะสำหรับ: หน้า Landing Page, หน้าขายของ
4. Commercial Investigation Keyword (คำค้นหาก่อนตัดสินใจซื้อ)
จุดประสงค์: เปรียบเทียบ หรือหาข้อมูลเพื่อเตรียมซื้อ
ตัวอย่าง: “เปรียบเทียบมือถือ 2025”, “รีวิวกล้องฟูจิ vs โซนี่”
เหมาะสำหรับ: รีวิวสินค้า, Content ที่ช่วยตัดสินใจ
ประเภทของ Keyword ตามบทบาทในกลยุทธ์ SEO
1. Primary Keyword (คีย์เวิร์ดหลัก)
ใช้เป็นคำหลักในบทความ
ควรอยู่ใน Title, H1, URL, Meta Description
ตัวอย่าง: ถ้าบทความพูดเรื่อง “กาแฟลดน้ำหนัก” → คำนี้คือ Primary Keyword
2. Secondary Keyword (คีย์เวิร์ดรอง)
คำที่เกี่ยวข้องกับ Primary Keyword
ช่วยเสริมบริบทและขยายความหมาย
ตัวอย่าง: “กาแฟลดน้ำหนัก pantip”, “กาแฟลดพุง”, “กาแฟไม่มีน้ำตาล”
3. LSI Keyword (Latent Semantic Indexing)
คำหรือวลีที่มีความหมายใกล้เคียงหรือเกี่ยวข้อง
ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาลึกขึ้น
ตัวอย่าง: สำหรับ “กล้อง DSLR” → LSI อาจเป็น “เลนส์ถ่ายภาพ”, “รูรับแสง”, “ISO”
เทคนิคเลือก Keyword ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
1. เข้าใจ Search Intent ก่อนเสมอ
เลือกคีย์เวิร์ดที่ตอบโจทย์เจตนาของผู้ค้นหา เช่น ถ้าเป้าหมายคือการขาย → เลือก Transactional Keyword
2. ใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ด
เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest, Ahrefs, หรือ SEMrush เพื่อดู Search Volume และระดับการแข่งขัน
3. วิเคราะห์คู่แข่ง
ดูว่าคู่แข่งในหน้าแรกของ Google ใช้คีย์เวิร์ดอะไร แล้วปรับคอนเทนต์ของคุณให้ดีกว่า
การเข้าใจว่า Keyword แต่ละประเภท มีจุดประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกัน จะช่วยให้คุณวางแผนเนื้อหา SEO ได้ตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทราฟฟิก สร้างการรับรู้ หรือปิดการขาย การเลือกคีย์เวิร์ดที่ถูกต้องคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จบนโลกออนไลน์
การทำ SEO นั้นต้องอาศัยเทคนิคมากมาย และอาศัยประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ถ้าหากไม่มีเวลาในการทำ SEO หรือไม่มีประสบการณ์มากพอสามารถปรึกษาเราได้ฟรีด้วยบริการ รับทำ SEO ของเรา ซึ่งการ รับทำ SEO ติดหน้าแรก ของเราจะทำด้วยเทคนิคสายขาว ซึ่งจะปลอดภัยต่อเว็บไซต์ของคุณทุกการอัพเดทอัลกอริทึ่มของ Google ถ้าหากสนใจ รับทำ SEO สายขาว ทักมาคุยกับเราได้ที่ Line@ ได้เลยครับ
- Mobile-Friendly มีผลต่อ SEO อย่างไร - April 29, 2025
- คำศัพท์ SEO ที่มือใหม่ควรรู้ 2025 - April 29, 2025
- ความสำคัญของ Meta Title และ Meta Description - April 29, 2025