On-Page SEO vs Off-Page SEO ต่างกันอย่างไร? อธิบายครบจบ

SEO (Search Engine Optimization) เป็นกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเสิร์ชเอนจิน เช่น Google ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ On-Page SEO และ Off-Page SEO โดยทั้งสองมีบทบาทสำคัญในการทำให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีขึ้น แต่มีแนวทางที่แตกต่างกัน บทความนี้จะอธิบายความแตกต่างระหว่าง On-Page SEO และ Off-Page SEO เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม

1. On-Page SEO คืออะไร?

On-Page SEO คือการปรับแต่งปัจจัยภายในเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับเสิร์ชเอนจินและผู้ใช้งาน ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างเนื้อหาและองค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บ เช่น:

1.1 การใช้คีย์เวิร์ด (Keyword Optimization)

  • ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมและใส่ในตำแหน่งสำคัญ เช่น Title, Meta Description, Headings และเนื้อหา
  • หลีกเลี่ยงการใส่คีย์เวิร์ดมากเกินไป (Keyword Stuffing) ซึ่งอาจทำให้ Google ลดอันดับ

1.2 การปรับปรุงเนื้อหา (Content Optimization)

  • เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้
  • ใช้โครงสร้างเนื้อหาที่อ่านง่าย เช่น Bullet Points, หัวข้อย่อย (H2, H3)
  • อัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เว็บไซต์มีความสดใหม่

1.3 การปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ (Technical On-Page SEO)

  • ใช้ URL ที่เป็นมิตรกับ SEO (SEO-Friendly URLs)
  • เพิ่ม Internal Links เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาภายในเว็บไซต์
  • ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์ (Page Speed) ให้โหลดเร็วขึ้น
  • ทำให้เว็บไซต์รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile-Friendly)

2. Off-Page SEO คืออะไร?

Off-Page SEO คือการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์จากปัจจัยภายนอก โดยเน้นที่การสร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์อื่นและเพิ่มความนิยมของเว็บไซต์ในสายตาเสิร์ชเอนจิน

2.1 การสร้าง Backlinks (Link Building)

  • การได้รับลิงก์จากเว็บไซต์คุณภาพสูงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ของคุณ
  • เทคนิคการสร้าง Backlinks ได้แก่ การทำ Guest Posting, การขอให้เว็บไซต์อื่นลิงก์มายังเว็บของคุณ และการใช้ Social Bookmarking

2.2 Social Media Signals

  • แม้ว่า Social Media จะไม่ใช่ปัจจัยโดยตรงในการจัดอันดับ SEO แต่การแชร์เนื้อหาบนแพลตฟอร์มต่างๆ สามารถช่วยเพิ่มการเข้าถึงและดึงดูดผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์
  • การมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ เช่น การกดไลก์ แชร์ หรือคอมเมนต์ อาจช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ได้รับลิงก์จากแหล่งอื่น

2.3 การทำ Local SEO และการรีวิว

  • ลงทะเบียนเว็บไซต์กับ Google My Business เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณแสดงผลบน Google Maps
  • ได้รับรีวิวจากลูกค้าบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Google Reviews หรือ Yelp ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ

3. On-Page SEO vs Off-Page SEO: แตกต่างกันอย่างไร?

ปัจจัยOn-Page SEOOff-Page SEO
คำนิยามการปรับแต่งภายในเว็บไซต์การเพิ่มความน่าเชื่อถือจากภายนอก
ตัวอย่างการใช้คีย์เวิร์ด, การปรับโครงสร้างเว็บไซต์, การปรับปรุงเนื้อหาการสร้าง Backlinks, การทำ Social Media Marketing, การได้รีวิวจากผู้ใช้
เป้าหมายทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่ายและเป็นมิตรกับเสิร์ชเอนจินเพิ่มความนิยมและความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์
ควบคุมได้?ควบคุมได้โดยตรงไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง ต้องอาศัยปัจจัยภายนอก


4. ควรทำ On-Page SEO หรือ Off-Page SEO ก่อน?

โดยทั่วไป ควรเริ่มจาก On-Page SEO ก่อน เพราะเป็นพื้นฐานที่สำคัญ หากเว็บไซต์ไม่มีเนื้อหาคุณภาพ หรือโครงสร้างไม่ดี แม้ว่าจะทำ Off-Page SEO มากแค่ไหนก็อาจไม่ได้ผล เมื่อ On-Page SEO แข็งแกร่งแล้ว จึงค่อยเริ่มทำ Off-Page SEO เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดทราฟฟิกมายังเว็บไซต์

On-Page SEO และ Off-Page SEO เป็นสองส่วนที่ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google โดย On-Page SEO เน้นการปรับปรุงภายในเว็บไซต์ เช่น การใช้คีย์เวิร์ด การเขียนเนื้อหาคุณภาพ และการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ ในขณะที่ Off-Page SEO มุ่งเน้นไปที่การสร้างลิงก์และเพิ่มความนิยมจากแหล่งภายนอก หากต้องการให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จ ควรให้ความสำคัญกับทั้งสองส่วนควบคู่กันไป

ไม่มีเวลาทำ SEO หรือทำแล้วได้ผลลัพธ์ไม่ตามเป้าหมาย ปรึกษาฟรีกับผู้เชี่ยวชาญให้บริการ รับทำ SEO ด้วยเทคนิคที่มีคุณภาพสูง บริการ รับทำ SEO สายขาว ให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับได้ยาวนานกว่า สนใจรับบริการ ทักหาเราได้ที่ Line@

SEO Labour