PPC คืออะไร? รู้จักการโฆษณาแบบจ่ายเมื่อมีคนคลิก พร้อมกลยุทธ์ที่ได้ผลจริง

สำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำการตลาดออนไลน์ หนึ่งในคำที่มักจะได้ยินบ่อยคือ PPC โดยเฉพาะเมื่อต้องการให้เว็บไซต์หรือสินค้าเข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักว่า PPC คืออะไร, มีข้อดีอย่างไร และควรใช้ในสถานการณ์แบบไหนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า

PPC คืออะไร?

PPC ย่อมาจาก Pay-Per-Click คือรูปแบบการโฆษณาออนไลน์ที่ผู้ลงโฆษณาจะจ่ายเงินก็ต่อเมื่อมีคน "คลิก" ที่โฆษณาเท่านั้น ไม่เสียค่าใช้จ่ายหากไม่มีการคลิก

ตัวอย่างที่คุ้นเคย

  • โฆษณาบน Google Search (Google Ads)

  • โฆษณาบน Facebook Ads, Instagram Ads

  • โฆษณาบน YouTube

  • โฆษณาแบบแบนเนอร์ที่แสดงตามเว็บไซต์ต่าง ๆ (Display Ads)

รูปแบบของ PPC ที่ได้รับความนิยม

1. Search Ads

เป็นโฆษณาที่แสดงในผลการค้นหาของ Google หรือ Bing โดยจะแสดงเมื่อมีคนค้นหาคีย์เวิร์ดที่คุณเลือกไว้ เช่น:

คีย์เวิร์ด: “รับทำ SEO” → โฆษณาเว็บไซต์คุณขึ้นเป็นอันดับแรก

2. Display Ads

โฆษณาแบบแบนเนอร์ที่แสดงบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ในเครือข่ายของ Google Display Network โดยจะมีรูปภาพ ข้อความ และลิงก์ไปยังเว็บไซต์

3. Shopping Ads

เหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์ แสดงภาพสินค้า ราคา และชื่อร้าน บนหน้าผลการค้นหาของ Google Shopping

4. Social Media Ads

โฆษณา PPC บนแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น Facebook, Instagram, LinkedIn หรือ TikTok ซึ่งสามารถตั้งค่าให้แสดงกับกลุ่มเป้าหมายที่ระบุได้ชัดเจน

ข้อดีของการทำ PPC

1. ได้ผลลัพธ์รวดเร็ว

ต่างจาก SEO ที่ต้องใช้เวลา PPC ช่วยให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกได้ทันที เมื่อจ่ายเงิน

2. วัดผลได้ชัดเจน

สามารถดูได้เลยว่ามีกี่คลิก กี่คนเห็นโฆษณา และมีกี่คนที่ทำ Conversion (เช่น กรอกฟอร์ม สั่งซื้อ)

3. กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียด

เช่น เพศ อายุ พื้นที่ ความสนใจ เวลาแสดงโฆษณา หรือแม้แต่พฤติกรรมการใช้งาน

4. ควบคุมงบประมาณได้

คุณสามารถกำหนดงบรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน และหยุดโฆษณาได้ตลอดเวลา

วิธีเริ่มต้นทำ PPC เบื้องต้น

1. เลือกแพลตฟอร์มให้เหมาะกับธุรกิจ

  • หากเน้นเจาะลูกค้าที่มีเจตนาซื้อ → ใช้ Google Ads (Search)

  • หากเน้นสร้างการรับรู้แบรนด์ → ใช้ Facebook Ads หรือ Display Ads

2. วิเคราะห์และเลือกคีย์เวิร์ด (สำหรับ Search Ads)

เลือกคำค้นหาที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ และตรงกับเจตนาของผู้ซื้อ โดยสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Google Keyword Planner ได้

3. สร้างหน้า Landing Page ที่ตอบโจทย์

ควรมีเนื้อหาที่ตรงกับโฆษณา มีปุ่ม Call to Action ชัดเจน และโหลดเร็ว เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย

4. ตั้งค่าโฆษณาและวัดผล

กำหนดงบประมาณ, กลุ่มเป้าหมาย และตรวจสอบผลลัพธ์จาก Google Ads หรือ Meta Ads Manager อย่างต่อเนื่อง

ความแตกต่างระหว่าง PPC และ SEO

 

ปัจจัยPPCSEO
ความเร็วเห็นผลทันทีใช้เวลา 3–6 เดือน
ค่าใช้จ่ายจ่ายตามคลิกไม่มีค่าโฆษณา แต่มีค่าใช้จ่ายด้านการปรับเว็บไซต์
ความยั่งยืนหยุดจ่าย = หยุดแสดงติดอันดับได้ยาวนานหากทำดี
การควบคุมควบคุมตำแหน่งและกลุ่มเป้าหมายได้ทันทีขึ้นอยู่กับอัลกอริทึมของ Google

คำแนะนำในการทำ PPC ให้ได้ผลสูงสุด

1. ใช้ A/B Testing ทดสอบโฆษณาหลายแบบ

ทดสอบภาพ หัวข้อ และข้อความโฆษณาหลายเวอร์ชัน เพื่อหาเวอร์ชันที่ได้ผลดีที่สุด

2. ติดตาม Conversion และ ROI

อย่าดูแค่จำนวนคลิก ให้ดูว่าคลิกเหล่านั้นแปลงเป็นยอดขายหรือไม่

3. ปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ

วิเคราะห์คำค้นหาที่ได้ผลหรือไม่ได้ผล แล้วปรับงบหรือลบคำที่ไม่สร้าง Conversion

PPC (Pay-Per-Click) คือหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ถ้าคุณรู้วิธีวางแผน ตั้งค่า และวัดผลอย่างถูกต้อง การลงทุนใน PPC จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อทำควบคู่กับ SEO อย่างมีกลยุทธ์

แต่ถ้าใครไม่มีความรู้ทางด้าน SEO เลย และอยากให้เว็บไซต์ธุรกิจของคุณติดหน้าแรก Google สามารถปรึกษาเรา พร้อมกับบริการ รับทำ SEO ด้วยเทคนิคสายขาว ติดอันดับนานกว่าเทคนิคอื่นๆ ธุรกิจน่าเชื่อถือ สร้างกำไรในระยะยาว หากใครสนใจบริการ รับจ้างทำ SEO ติดต่อเราได้ที่ Line@

SEO Labour