ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันบนโลกออนไลน์สูงขึ้นเรื่อยๆ การทำให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นและถูกค้นพบได้ง่ายบน Google กลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง และนั่นคือที่มาของ Yoast SEO ปลั๊กอิน WordPress ตัวช่วยอันดับหนึ่งที่ทำให้การทำ SEO (Search Engine Optimization) ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปสำหรับทุกคน
บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ วิธีใช้ Yoast SEO เบื้องต้น แบบจับมือทำ 5 ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อ ปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้ติดหน้าแรก Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่แค่ไหน รับรองว่าทำตามได้แน่นอน!
Yoast SEO คืออะไร? ทำไมคุณถึงต้องใช้?
ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกถึงขั้นตอนการใช้งาน มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Yoast SEO คืออะไร และทำไมมันถึงเป็นเครื่องมือที่คุณขาดไม่ได้ในการ ทำ SEO เว็บไซต์ ของคุณ
Yoast SEO เป็นปลั๊กอินยอดนิยมสำหรับ WordPress ที่ช่วยให้คุณ ปรับแต่ง SEO On-Page ได้ง่ายดาย ช่วยให้ Search Engine อย่าง Google เข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสแสดงผลในอันดับต้นๆ ของหน้าผลการค้นหา (SERP) มากขึ้นนั่นเอง
มันทำอะไรได้บ้าง? Yoast SEO ช่วยให้คุณ:
- กำหนด Title Tag และ Meta Description ที่น่าดึงดูด
- วิเคราะห์ความสามารถในการอ่าน (Readability) ของเนื้อหา
- ตรวจสอบการใช้ Keyword (คำหลัก) อย่างเหมาะสม
- สร้าง Sitemap เพื่อให้ Google เข้ามาเก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น
- จัดการ Social Media Previews
พร้อมแล้วหรือยัง? มาเริ่มกันเลย!
5 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเริ่มต้นใช้งาน Yoast SEO เพื่อติดหน้าแรก
ขั้นตอนที่ 1: ติดตั้งและตั้งค่า Yoast SEO (ครั้งแรกเท่านั้น!)
ก่อนอื่น คุณต้องติดตั้งปลั๊กอิน Yoast SEO บนเว็บไซต์ WordPress ของคุณ:
- เข้าสู่ระบบหลังบ้าน WordPress ของคุณ
- ไปที่ ปลั๊กอิน (Plugins) > เพิ่มปลั๊กอินใหม่ (Add New)
- ค้นหา "Yoast SEO" ในช่องค้นหา
- คลิก "ติดตั้งตอนนี้ (Install Now)" และจากนั้น "เปิดใช้งาน (Activate)"
เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว คุณจะเห็นเมนู "SEO" ปรากฏขึ้นในแถบด้านข้างของ WordPress สำหรับการตั้งค่าเริ่มต้น Yoast SEO จะมี Wizard ช่วยให้คุณตั้งค่าพื้นฐานได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแนะนำให้ทำตามเพื่อการเริ่มต้นที่ดีที่สุด
ขั้นตอนที่ 2: ตั้งค่า Title Tag และ Meta Description สำหรับแต่ละหน้า/บทความ
นี่คือหัวใจสำคัญของการ ทำ SEO On-Page! ทุกครั้งที่คุณสร้างหรือแก้ไขหน้าเพจหรือบทความใน WordPress คุณจะเห็นกล่อง Yoast SEO อยู่ด้านล่างของหน้าแก้ไข
- Focus Keyphrase (คีย์เวิร์ดหลัก): ใส่คีย์เวิร์ดหลักที่คุณต้องการให้หน้านั้นๆ ติดอันดับ เช่น "วิธีทำขนมเค้ก" หรือ "รีวิวร้านกาแฟกรุงเทพ"
- SEO Title (ชื่อเรื่อง SEO): นี่คือชื่อที่จะปรากฏบนหน้าผลการค้นหาของ Google ควรดึงดูดและมีคีย์เวิร์ดหลักของคุณอยู่ด้วย
- Meta Description (คำอธิบายเมตา): คำอธิบายสั้นๆ ที่ปรากฏใต้ชื่อเรื่อง SEO ควรสรุปเนื้อหาและกระตุ้นให้คนคลิกเข้ามา
เคล็ดลับ: Yoast SEO จะมีแถบสี (แดง, ส้ม, เขียว) แสดงให้เห็นว่าคุณปรับแต่งได้ดีแค่ไหน พยายามทำให้เป็นสีเขียว!
ขั้นตอนที่ 3: ปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหา (Readability Analysis)
Yoast SEO ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องคีย์เวิร์ดเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เนื้อหาของคุณอ่านง่ายและเข้าใจได้ดีขึ้นอีกด้วย
- Flesch Reading Ease: Yoast SEO จะวิเคราะห์ความซับซ้อนของประโยคและความยาวของคำ
- Subheadings: ตรวจสอบว่าคุณมีการใช้หัวข้อย่อย (H2, H3) เพื่อแบ่งเนื้อหาให้เป็นสัดส่วนหรือไม่
- Paragraph Length: แนะนำให้ย่อหน้าไม่ยาวจนเกินไป เพื่อให้อ่านง่ายบนทุกอุปกรณ์
- Transition Words: แนะนำให้ใช้คำเชื่อม เช่น "อย่างไรก็ตาม", "ดังนั้น", "นอกจากนี้" เพื่อให้เนื้อหาลื่นไหล
การทำตามคำแนะนำของ Yoast SEO ในส่วนนี้จะช่วยให้ผู้อ่านอยู่บนเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับ Google
ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบการใช้ Focus Keyphrase (Keyword Analysis)
เมื่อคุณใส่ Focus Keyphrase ไปแล้ว Yoast SEO จะวิเคราะห์ว่าคุณใช้คีย์เวิร์ดนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่:
- Keyphrase in introduction: คีย์เวิร์ดหลักควรปรากฏอยู่ในย่อหน้าแรก
- Keyphrase length: ความยาวของคีย์เวิร์ดหลัก
- Keyphrase density: ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ดหลัก (ใช้มากไปก็ไม่ดี)
- Text length: ความยาวของบทความโดยรวม (บทความที่ยาวและมีคุณภาพมักจะติดอันดับดีกว่า)
- Internal & External links: มีการเชื่อมโยงไปยังหน้าภายในเว็บไซต์ของคุณเอง และไปยังเว็บไซต์ภายนอกที่มีคุณภาพหรือไม่
การทำตามคำแนะนำในส่วนนี้จะช่วยให้บทความของคุณมีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดที่เลือก และเพิ่มโอกาสในการ ติดหน้าแรก Google
ขั้นตอนที่ 5: สร้างและส่ง Sitemap ให้ Google Search Console
Sitemap คือแผนที่ของเว็บไซต์ของคุณที่ช่วยให้ Search Engine เข้าใจโครงสร้างและค้นหาหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น Yoast SEO จะสร้าง Sitemap ให้คุณโดยอัตโนมัติ:
- ไปที่เมนู SEO > คุณสมบัติ (Features) ใน WordPress
- เลื่อนลงมาที่ XML Sitemaps และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเปิดใช้งานอยู่ (Enabled)
- คลิกที่เครื่องหมายคำถาม (?) ถัดจาก XML Sitemaps แล้วเลือก "ดูแผนผังเว็บไซต์ XML (See the XML sitemap)" คุณจะได้ URL ของ Sitemap ของคุณ (เช่น
yourwebsite.com/sitemap_index.xml
)
หลังจากได้ URL ของ Sitemap แล้ว ให้ไปที่ Google Search Console (หากยังไม่มีบัญชี ให้สร้างก่อน)
- เพิ่มเว็บไซต์ของคุณใน Google Search Console
- ไปที่เมนู Sitemaps
- ใส่ URL Sitemap ของคุณลงไปแล้วคลิก "ส่ง (Submit)"
การทำขั้นตอนนี้จะช่วยให้ Google เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บไซต์ของคุณได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ซึ่งสำคัญมากต่อการ ทำ SEO เว็บไซต์
สรุป: Yoast SEO คือเครื่องมือสำคัญสำหรับทุกคน
การเริ่มต้นใช้งาน Yoast SEO นั้นไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด ด้วย 5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่เราได้แนะนำไป คุณก็สามารถ ปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณ ให้มีประสิทธิภาพด้าน SEO มากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการ ติดหน้าแรก Google ได้ไม่ยาก
จำไว้ว่า SEO คือการเดินทาง ไม่ใช่ปลายทาง การปรับแต่งและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ Yoast SEO เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยให้การเดินทางของคุณง่ายขึ้น ขอให้สนุกกับการ ทำ SEO เว็บไซต์ ของคุณ
สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาหรือไม่อยากเสียเวลานั่งทำ SEO ด้วยตนเอง สามารถปรึกษาเราด้วยบริการ รับทำ SEO ซึ่งเราจะ รับทำ SEO สายขาว ให้กับเว็บไซต์ของลูกค้าเพื่อเน้นผลลัพธ์ที่ยั่งยืน สนใจรับบริการหรือสอบถามบริการ รับจ้างทำ SEO สามารถติดต่อเราผ่านทาง Line@ ได้เลยครับ
- Trust Flow คืออะไร? และทำไมมันถึงสำคัญต่อการทำ SEO ของคุณ? - June 4, 2025
- PageRank คืออะไร? และยังมีความสำคัญต่อ SEO ยุคปัจจุบันหรือไม่? - June 4, 2025
- YMYL คืออะไร? ทำไม Google ถึงเข้มงวดกับเนื้อหาประเภทนี้เป็นพิเศษ? - June 4, 2025